
ระหว่าง วันที่ 14 -18 เมษายน ที่ผ่านมา นายสี จิ้นผิง เลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานาธิบดีจีน ได้เดินทางเยือนประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 3 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ภายใต้บริบทโลก ที่กำลังเผชิญกับผลกระทบจากลัทธิเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว (Unilateralism) และการเมืองที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ “การทูตประมุข” ครั้งนี้เน้นการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน มุ่งเสริมสร้างมิตรไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้าน และส่งเสริมความร่วมมือที่อำนวยประโยชน์แก่กัน ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง และถูกมองว่า เป็นการเยือนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง และได้เปิดบทใหม่ให้กับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งสามประเทศให้ความสำคัญ เป็นอย่างยิ่งกับการมาเยือนของประมุขจีน ครั้งนี้ ต่างต้อนรับด้วยพิธีการทูตระดับสูงสุด และกำหนดการที่อบอุ่น และยิ่งใหญ่ที่สุด แสดงถึงมิตรภาพจากหัวใจพร้อมส่งสัญญาณชัดเจน ถึงการให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อความสัมพันธ์กับจีน
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เลือกเวียดนาม เป็นจุดหมายปลายทางแรกของการเยือนต่างประเทศ ในปีนี้ ขณะที่ นายโต เลิม ก็ได้เลือกเยือนจีนเป็นประเทศแรก หลังเข้าดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เมื่อปีที่แล้ว การเยือนซึ่งกันและกันระหว่างเลขาธิการของทั้งสองพรรคเกิดขึ้นภายในเวลาเพียงหนึ่งปี นั้น สะท้อนให้เห็นถึงระดับของยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ที่สูงยิ่งอย่างเต็มที่ ในการเยือนครั้งนี้ จีนและเวียดนาม ออกแถลงการณ์ร่วม และได้ลงนามเอกสารความร่วมมือ 45 ฉบับ ซึ่งจะส่งเสริมการเร่งเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์การพัฒนาระหว่างทั้งสองประเทศ อย่างทรงพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะขยายและยกระดับความร่วมมือด้านรถไฟ ถือเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาร่วมกัน ผู้นำทั้งสอง ได้ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดกลไกความร่วมมือด้านรถไฟ จีน-เวียดนาม ซึ่งกลไกนี้ จะทำให้เกิดการเชื่อมต่อของทางรถไฟมาตรฐานเดียวกันอย่างเต็มรูปแบบ ยกระดับขีดความสามารถด้านการขนส่งข้ามพรมแดนอย่างมาก ลดต้นทุนโลจิสติกส์ ทำให้ห่วงโซ่อุปทานของทั้งสองประเทศเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ และย่อมจะกลายเป็นโครงการสำคัญเชิงสัญลักษณ์ในการร่วมสร้าง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ระหว่างจีนกับเวียดนาม อย่างมีคุณภาพสูง
ระหว่างการเยือนมาเลเซียสองครั้งทั้ง เมื่อปี 2013 และ ปี 2025 นี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ต่างก็ได้ยกสุภาษิตมาเลเซียที่ว่า “สายน้ำตัดไม่ขาด” เพื่อเปรียบเทียบความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ ครั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีอิบราฮิมแห่งมาเลเซีย มีพระราชดำรัส ว่า การเยือนครั้งนี้ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในระดับที่สูง นายกรัฐมนตรีอันวาร์ได้เดินทางไปต้อนรับ และส่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่สนามบินด้วยตนเอง และร่วมในทุกกิจกรรมตลอดการเยือน ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดของการเยือนครั้งนี้คือ ผู้นำทั้งสองประเทศได้ยกระดับความสัมพันธ์จีน-มาเลเซียขึ้นสู่ระดับใหม่ โดยประกาศที่จะสร้าง “ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันเชิงยุทธศาสตร์ระดับสูง” ซึ่งถือเป็นการยกขึ้นสู่ระดับใหม่หลังจากที่ทั้งสองประเทศประกาศสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน เมื่อปี 2023 ตลอดสองปีที่ผ่านมา ความร่วมมือระหว่างสองประเทศมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว เมื่อปีที่แล้วมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศ เกิน 210,000 ล้านดอลลาร์ และมีการเดินทางระหว่างกันของประชาชนเกือบ 6 ล้านคน การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันบรรลุผลสำเร็จอย่างเด่นชัด ทำให้การยกระดับความสัมพันธ์ครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ระหว่างการเยือนครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามเอกสารความร่วมมือ 26 ฉบับ ซึ่งถือเป็นผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และทำลายสถิติ
เพื่อต้อนรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี กษัตริย์กัมพูชาทรงจัดพิธีการทูต ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ โดยเสด็จพระราชดำเนินไปยังสนามบินและจัดพิธีต้อนรับที่สนามบิน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีนับตั้งทรงขึ้นครองราชย์ ช่วงเวลาที่โดดเด่นอีกช่วงหนึ่งของการเยือนครั้งนี้ คือการที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงและนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้ร่วมกันประกาศยกระดับความสัมพันธ์จีน-กัมพูชาเป็น “ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันที่ครอบคลุมทุกมิติในยุคใหม่” นี่เป็นครั้งแรกที่จีนยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่ระดับสูงที่ครอบคลุมทุกมิติ ซึ่งถือเป็น “ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันที่ครอบคลุมทุกมิติในยุคใหม” รายแรกที่ก่อตั้งขึ้นในระดับทวิภาคี ระหว่างการเยือนครั้งนี้ทั้งสองประเทศได้ลงนามเอกสารความร่วมมือ 37 ฉบับ ครอบคลุมความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทาน ปัญญาประดิษฐ์ และการช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา ฯลฯ ซึ่งไม่เพียงช่วยเสริมสร้างศักยภาพการพัฒนาโดยพึ่งพาตนเองของกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างกว้างขวางอีกด้วย สื่อกัมพูชาให้ความเห็นว่าการเยือนครั้งนี้สะท้อนถึงคุณภาพของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และเป็นการหักล้างที่ทรงพลังต่อกระแสข่าวลือที่ว่า “ความสัมพันธ์จีน-กัมพูชาตกต่ำลง” จีน ยืนหยัดใช้ความร่วมมือแทนการแทรกแซง ใช้ความช่วยเหลือแทนการครอบงำ ทำให้เป็นที่นับถือและไว้วางใจอย่างกว้างขวาง
มาเลเซียเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียน และเป็นประเทศผู้ประสานความสัมพันธ์จีน-อาเซียน ประจำปีนี้ คำกล่าวต่อไปนี้ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่กล่าวกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์มีความหมายสำคัญเกินกว่าระดับทวิภาคี
“จีน สนับสนุนมาเลเซียในการปฏิบัติหน้าที่ประธานหมุนเวียนอาเซียน และยินดีร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคเพื่อเร่งให้มีการลงนามในพิธีสารการยกระดับเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียนโดยเร็ว ต่อต้าน‘การแยกตัวทางเศรษฐกิจ’ ‘สนามเล็กแต่รั้วสูง (small yard with high fences)’ และการเก็บภาษีศุลากรตามอำเภอใจด้วยการเปิดกว้าง การยอมรับความหลากหลาย ความสามัคคีและความร่วมมือ ตอบโต้แนวคิด ‘ผู้แข็งแกร่งกินผู้อ่อนแอ’ ซึ่งเป็น‘กฎแห่งป่า’ ด้วยคุณค่าแห่งเอเชียที่ยึดมั่นสันติภาพ ความร่วมมือ การเปิดกว้าง และการยอมรับความหลากหลาย รวมถึงรับมือกับความไร้เสถียรภาพและความไม่แน่นอนของโลกด้วยความมั่นคง และความแน่นอนของเอเชีย”
นายโต เลิม กล่าวว่า การเยือนของนายสี จิ้นผิง ได้ช่วยเสริมความมั่นใจของเวียดนามในการเอาชนะความเสี่ยงและความท้าทาย รวมถึงเดินหน้าภารกิจสังคมนิยม เวียดนามยินดีที่จะเสริมสร้างการประสานงานกับจีนเพื่อปกป้องกฎระเบียบการค้าโลก
นายอันวาร์ ระบุ ว่า สิ่งที่จีนนำมานั้นไม่เพียงแต่เป็นความมั่นคง แต่ยิ่งเป็นความหวังที่ยั่งยืน อาเซียนไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่ตั้งกำแพงภาษีฝ่ายเดียว และจะร่วมมือกันเพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ
นายฮุน มาเนต กล่าวว่า ในสถานการณ์ที่ลัทธิเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวก่อให้เกิดความปั่นป่วนทั่วโลก และระบบการค้าเสรีพหุภาคีกำลังถูกท้าทายนั้น จีน ได้แสดงบทบาทผู้นำ และมอบความแน่นอนอันมีค่าให้กับโลก
บรรดานักวิเคราะห์ ชี้ ว่า “การทูตประมุข” ครั้งนี้ สะท้อนถึงความปรารถนาอันจริงใจของจีน ในการร่วมมือ และร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประเทศเพื่อนบ้าน และผลักดันการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันกับประเทศรอบข้าง ขณะเดียวกันยังส่งสัญญาณชัดเจน ถึงการยืนหยัดของจีน ในการปกป้องพหุภาคีนิยม และกฎระเบียบการค้าโลก ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง และวุ่นวาย จีน ได้แสดงบทบาทในฐานะประเทศใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ ได้เสริมสร้างความมั่นใจ และเป็นกำลังใจให้กับการรวมพลัง และความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
เขียน โดย ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CMG)
TAG : 0 0 Google +0 เขียนเมื่อ : ศุุกร์ 25 เมษายน 2568 19:57:59 เข้าชม : 1798211 ครั้ง