กรุงเทพฯ 13 ธันวาคม 2567 – สายการบินแอร์อินเดีย (Air India) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือทาทา กรุ๊ป ได้เปิดเผยคำสั่งซื้ออย่างเป็นทางการที่ได้ดำเนินการไว้ก่อนหน้านี้ ประกอบด้วยเครื่องบินลำตัวกว้างในเอ350 (A350) จำนวน 10 ลำ และเครื่องบินลำตัวแคบในตระกูล เอ320 (A320) จำนวน 90 ลำ นอกจากนี้ Air India ยังได้เลือกใช้บริการชิ้นส่วน และการซ่อมบำรุงตามชั่วโมง การใช้งาน (Flight Hour Services-Component หรือ FHS-C) ของแอร์บัส สำหรับฝูงบิน A350 ที่กำลังเติบโตของสายการบิน
คำสั่งซื้อเครื่องบินครั้งล่าสุด ซึ่งได้ถูกบันทึกลงในรายการสั่งซื้อเครื่องบิน ประจำปี 2567 ของแอร์บัสแล้วนั้น เป็นการเพิ่มคำสั่งซื้อจากที่แอร์อินเดียได้เคยสั่งซื้อเครื่องบินตระกูล A350 จำนวน 40 ลำ และตระกูล A320 จำนวน 210 ลำในปี 2566 ทำให้ยอดคำสั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัสของแอร์อินเดีย รวมเป็นจำนวนทั้งหมด 344 ลำ โดยปัจจุบันได้ทำการส่งมอบเครื่องบิน เอ350-900 (A350-900) แล้วจำนวน 6 ลำ
นอกจากนี้แพ็กเกจการให้บริการ FHS-C ของแอร์บัสยังจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือให้กับฝูงบิน A350 ของแอร์อินเดีย ข้อตกลงฉบับนี้ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงบทบาทของแอร์บัส ในฐานะผู้ให้บริการบำรุงรักษา ตามชั่วโมงการใช้งาน (power-by-the-hour) รายใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับเครื่องบิน A350
โดยคำสั่งซื้อเครื่องบินและการบริการครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการปรับปรุงฝูงบิน ให้ทันสมัยของสายการบินแอร์อินเดีย
นายนาตาราจัน จันทระเศการัณ (Natarajan Chandrasekaran) ประธานบริษัท ทาทา ซันส์ และ แอร์อินเดีย กล่าวว่า “ด้วยการเติบโตของผู้โดยสารในอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าพื้นที่อื่น ๆ ทั่วโลก ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และประชากรคนรุ่นใหม่ที่มีความมุ่งมั่นก้าวสู่ในระดับโลกมากยิ่งขึ้น เรามองเห็นเหตุผลที่ชัดเจนสำหรับแอร์อินเดียในการขยายฝูงบินในอนาคตเพิ่มขึ้น จากคำสั่งซื้อเดิมจำนวน 470 ลำในปีที่ผ่านมา เครื่องบินแอร์บัสที่เพิ่มขึ้นมา 100 ลำนี้ จะช่วยให้แอร์อินเดียก้าวเดินบนเส้นทางสู่การเติบโตที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น และช่วยให้แอร์อินเดียบรรลุภารกิจของเราในการเป็นสายการบินระดับโลกที่เชื่อมโยงอินเดียเข้ากับทั่วทุกมุมโลก”
นายกิลโยม โฟว์รี่ (Guillaume Faury) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท แอร์บัส กล่าวว่า “หลังจากที่ได้เห็นการเติบโตอันน่าทึ่งของภาคการบินในประเทศอินเดียในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นแอร์อินเดียสานต่อความไว้วางใจที่มีในแอร์บัส ด้วยการสั่งซื้อเครื่องบินตระกูล A320 และ A350 ของเราเพิ่มเติม” และเสริมว่า “ด้วยการเป็นพันธมิตรที่ต่อเนื่อง เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนความสำเร็จของแอร์อินเดียในแผนการปรับเปลี่ยนองค์กร “Vihaan.AI” ภายใต้วิสัยทัศน์และการเป็นผู้นำของเครือทาทา”
แอร์อินเดียได้เริ่มปฏิบัติการด้วยเครื่องบิน A350 ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ซึ่งนับเป็นการนำเครื่องบินแบบลำตัวกว้างรุ่นนี้มาใช้ในตลาดประเทศอินเดียเป็นครั้งแรก
ปัจจุบัน A350 เป็นเครื่องบินลำตัวกว้าง ที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก และเป็นผู้นำด้านการบินพิสัยไกลในหมวดจำนวน 300-410 ที่นั่ง สามารถบินได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุก ๆ เส้นทาง ทั้งในการบินพิสัยสั้นไปจนถึงการบินพิสัยไกล เป็นพิเศษมากถึง 9,700 ไมล์ทะเล (หรือราว 17,964.4 กิโลเมตร) การออกแบบใหม่ทั้งหมดของเครื่องบิน A350 ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย การใช้หลักอากาศพลศาสตร์ วัสดุน้ำหนักเบา และเครื่องยนต์รุ่นล่าสุด ซึ่งเมื่อผสานรวมกันแล้วจะช่วยประหยัดการใช้เชื้อเพลิง ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ พร้อมลดเสียงรบกวนลง 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับเครื่องบินของคู่แข่งในรุ่นก่อนหน้า
สำหรับเครื่องบินรุ่น เอ321นีโอ (A321neo) ซึ่งเป็นสมาชิกขนาดใหญ่ที่สุดในตระกูล เอ320นีโอ (A320neo) นั้นมีพิสัยบิน และประสิทธิภาพที่ไม่มีรุ่นใดเทียบได้ ด้วยการใช้เครื่องยนต์รุ่นใหม่ และปลายปีกแบบชาร์คเล็ท (Sharklets) ทำให้เครื่องบินรุ่นนี้ มีเสียงรบกวน ลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ และลดการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้มากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์
บริการ Flight Hour Services (FHS) ของแอร์บัสเป็นการให้บริการชิ้นส่วน และการซ่อมบำรุงอากาศยาน แบบครบวงจร ที่คิดค่าบริการตามอัตราคงที่ต่อชั่วโมงการบิน โดย FHS-C จะให้บริการชิ้นส่วนแบบครบวงจร รวมถึงการจัดเก็บชิ้นส่วนภายในสถานที่ ณ กรุงเดลี นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้สายการบินเข้าถึงคลังอะไหล่ศูนย์รวมระดับภูมิภาคของแอร์บัส รวมถึงบริการซ่อมบำรุง และวิศวกรรม สำหรับชิ้นส่วนเครื่องบิน ที่สามารถเปลี่ยนทดแทน ได้ในหลากหลายประเภท ด้วยการรับประกันระดับการบริการ และความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมชิ้นส่วนของ FHS-C บริการนี้ จะช่วยให้แอร์อินเดียได้รับประโยชน์ จากความพร้อมใช้งานของเครื่องบินอย่างสูงที่สุด และประหยัดต้นทุนในการบำรุงรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
TAG : 0 0 Google +0 เขียนเมื่อ ศุกร์ 13 ธันวาคม 2567 14:18:59 เข้าชม : 1679272 ครั้ง