Home ที่ปรึกษากฎหมาย โดย ทนาย สุนทร พยัคฆ์ โซเชียล จับตา “ตึกถล่ม-อาฟเตอร์ช็อก” ประเด็นร้อน หลังแผ่นดินไหว

โซเชียล จับตา “ตึกถล่ม-อาฟเตอร์ช็อก” ประเด็นร้อน หลังแผ่นดินไหว

40 second read
0
0
240

จากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 8.2 ริกเตอร์ที่เกิดขึ้นในเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งแรงสั่นสะเทือนถึงหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากแรงสั่นสะเทือนที่ส่งผลต่ออาคารสูง มีรายงานตึกถล่มและผู้เสียชีวิต ทำให้ประชาชนตื่นตระหนก และเฝ้าติดตามสถานการณ์ผ่านโซเชียลมีเดีย อย่างใกล้ชิด

บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลการแสดงความคิดเห็นบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในช่วงวันที่ 28-31 มีนาคม 2568 ด้วยเครื่องมือ Social Listening (DXT360) พบว่าประเด็นหลักที่ได้รับความสนใจโดยมีเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) สูงสุดคือ “ตึกถล่ม” (37%) รองลงมาคือ อาฟเตอร์ช็อก (27%) การช่วยเหลือผู้รอดชีวิต (26%) การสัญจร (5%) และความมั่นคงของอาคาร (5%) และจากการเก็บข้อมูล พบว่าประชาชนใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการรายงานเหตุการณ์ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

  • ตึกถล่ม (37%)

อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ซึ่งกำลังก่อสร้างบนถนนกำแพงเพชร 2 ใกล้ตลาดนัดจตุจักร พังถล่มลงมาภายในไม่กี่นาทีหลังจากกรุงเทพฯ รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวที่มีศูนย์กลางในเมียนมา ส่งผลให้มีคนงานเสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก สร้างความตื่นตระหนกในวงกว้าง โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากตั้งคำถามถึงมาตรฐานการก่อสร้างอาคารในไทย และเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันโศกนาฏกรรมซ้ำรอย

  • อาฟเตอร์ช็อก (27%)

แม้แผ่นดินไหวหลัก (Mainshock) จะผ่านไปแล้ว แต่จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่า มีอาฟเตอร์ช็อก (Aftershock) เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังเหตุการณ์ แม้จะไม่สร้างความเสียหายเพิ่มเติม แต่ก็เพิ่มความวิตกกังวลให้กับประชาชนอย่างมาก บนโซเชียลมีเดีย มีการพูดถึงอาการเวียนหัว บ้านสั่นไหว และความหวั่นใจ ว่า จะเกิดแผ่นดินไหวซ้ำอีก

  • การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากตึกถล่ม (26%)

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนหลังแผ่นดินไหว กระแสความห่วงใยจากประชาชนหลั่งไหล ผ่านโซเชียลมีเดีย ผู้คนส่งต่อกำลังใจให้ทีมกู้ภัยที่กำลังปฏิบัติงาน เสี่ยงอันตราย เพื่อตรวจสอบซากอาคาร และค้นหาผู้ที่อาจติดอยู่ใต้โครงสร้าง โดยหนึ่งในทีมที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมาก คือ “ทีม K9” สุนัขกู้ภัย ซึ่งลงพื้นที่ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ในการค้นหาผู้ประสบภัยในพื้นที่อาคารถล่ม ด้วยความทุ่มเท และมีประสิทธิภาพทำให้เป็นกระแสไวรัลอย่างต่อเนื่อง จนหลายคนยกให้เป็น “ฮีโร่ในนาทีวิกฤติ” ที่เข้าถึงจุดเสี่ยงก่อนใคร

  • รถไฟฟ้าBTS และ MRT ปิด การจราจรติดขัด คนกรุงต้องเดินกลับบ้าน (5%)

หลังเกิดแผ่นดินไหว ระบบขนส่งมวลชนหลักของกรุงเทพฯ อย่างรถไฟ้ฟ้า BTS และ MRT ต้องหยุดให้บริการทันทีเพื่อความปลอดภัย ส่งผลให้ผู้โดยสารจำนวนมากตกค้างอยู่บนสถานี ขณะเดียวกัน การจราจรบนถนนหลายสายกลายเป็นอัมพาต เนื่องจากผู้คนจำนวนมากพากันออกจากอาคารและเดินทางกลับที่พักพร้อมกัน รถแท็กซี่และรถโดยสารที่ไม่เพียงพอทำให้หลายคนต้องตัดสินใจ “เดินเท้ากลับบ้าน” แม้ในระยะทางที่ไกลกว่าปกติ กลายเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตของหลายคนที่ไม่มีวันลืม

  • ความมั่นคงของโครงสร้างอาคาร (5%)

หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของอาคารสูงถูกสั่นคลอน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมรวมถึงผู้ที่ทำงานอยู่ในอาคารสูง แม้หลายอาคารจะไม่ได้รับความเสียหายรุนแรง แต่การพบรอยร้าวเล็ก ๆ หรือได้ยินเสียงแตกร้าวของโครงสร้างก็สร้างความกังวลและตื่นตระหนกให้กับผู้ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในอาคารสูงอย่างมาก

จากกระแสความวิตกกังวล ทำให้ประเด็นเรื่องมาตรฐานการก่อสร้างได้รับความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการกล่าวถึงบริษัท ฤทธา (RITTA) ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างชั้นนำของไทยอย่างกว้างขวางในแง่บวก หลายโครงการที่ดำเนินการสร้างโดยบริษัทนี้ได้รับคำชื่นชมว่าได้รับผลกระทบน้อยมากจากเหตุแผ่นดินไหว แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานโครงสร้างที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือของงานก่อสร้าง จนกลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ได้รับเอ็นเกจเมนต์สูงในโซเชียลมีเดีย

กทม. หน่วยงานที่ถูกพูดถึง (Mention) มากที่สุด 

วิเคราะห์จากข้อมูล Mentions บนโซเชียลมีเดีย หน่วยงานใดบ้างที่สังคมมองว่าขยับได้ทันในภาวะวิกฤต :

หลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ไม่มีใครคาดคิด สังคมยังตั้งคำถามถึงการทำงานของหน่วยงานรัฐ ว่า “พร้อมรับมือแค่ไหน?” เพราะไม่ใช่ทุกหน่วยงานที่มีแผนชัดเจน บางแห่งได้รับคำชมจากการตอบสนองรวดเร็ว ขณะที่บางแห่งถูกวิจารณ์จากความล่าช้า หรือความเงียบ ในช่วงวิกฤตที่กรุงเทพฯ ต้องการความช่วยเหลือสูงสุด นี่คือ ภาพรวมของหน่วยงานที่สังคมออนไลน์มองว่า “ขยับได้ทัน” ต่อเหตุการณ์

กทม. (52%)

แผ่นดินไหวในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาส่งแรงสั่นสะเทือนถึงไทย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ส่งผลให้ผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ สั่งตั้งวอร์รูมศูนย์บัญชาการเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) และได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานของ กทม. ลงพื้นที่ตรวจสอบและรายงานความเสียหายในทันที ขณะที่การจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ ติดหนักขั้นวิกฤติ และรถไฟฟ้าทุกสายปิดให้บริการเนื่องจากความปลอดภัย

ท่ามกลางความโกลาหล กทม. เปิดสวนสาธารณะตลอด 24ชั่วโมง เพื่อรองรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่เหตุอาคารกำลังก่อสร้างของ สตง. ถล่ม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้สูญหายจำนวนมาก ผู้ว่าฯ ชัชชาติ และทีมงานลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และรายงานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง

จากการปฏิบัติงานของ กทม. และผู้ว่าฯ ชัชชาติ สังคมออนไลน์ต่างชื่นชมการทำงานที่รวดเร็ว และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชน สื่อสารข้อมูล รวมถึงประสานงานความช่วยเหลือให้ผู้ได้รับผลกระทบ อย่างเต็มที่

กรมอุตุนิยมวิทยา (20%)

หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศทันที ระบุ ว่า เป็นแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด มีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา สามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ในหลายจังหวัดรวมถึงกรุงเทพฯ

อย่างไรก็ตาม คำถามที่เกิดขึ้นในสังคมคือ ทำไมไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า? ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกมาชี้แจงว่า “แผ่นดินไหวยังไม่สามารถพยากรณ์ได้ การป้องกันและบรรเทาภัยแผ่นดินไหวที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องใช้ระบบตรวจวัดที่มีมาตรฐานสากลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง”

แม้ไม่สามารถเตือนล่วงหน้าได้ แต่หลังเหตุการณ์ กรมอุตุฯ ได้เฝ้าระวังและรายงาน อาฟเตอร์ช็อก (Aftershock) อย่างต่อเนื่อง ผ่านเว็บไซต์และช่องทางโซเชียลมีเดียของหน่วยงาน โดยอัปเดตตำแหน่ง ความลึก และขนาดของแรงสั่นสะเทือนแบบเรียลไทม์ ทำให้ประชาชนและสื่อมวลชนใช้เป็นข้อมูลหลักในการติดตามสถานการณ์

นอกจากกรุงเทพมหานคร และกรมอุตุนิยมวิทยา ยังมีหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่ถูกจับตาถึงบทบาทในการรับมือต่อสถานการณ์ ได้แก่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (12%) กรมโยธาธิการและผังเมือง (10%) และ กสทช. (6%)

10 อันดับสื่อไทย รายงานแผ่นดินไหว ยอดเอ็นเกจฯ เฟซบุ๊กพุ่ง

ในช่วงวิกฤตที่ประชาชนต้องการข้อมูลที่รวดเร็ว และน่าเชื่อถือ เพื่อประเมินสถานการณ์ สื่อจึงมีบทบาทสำคัญ ในการส่งต่อข้อเท็จจริง เพื่อลดความสับสน ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลของ Dataxet พบว่า สื่อไทย ที่มียอดเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) บน Facebook สูงที่สุด ในช่วงวันที่ 28-31 มี.ค. 2568 ได้แก่ ข่าวสด มียอดรวมอยู่ที่ 4.29 ล้าน ครั้ง รองลงมา ไทยรัฐ มียอดรวม 4.23 ล้าน ครั้ง และอีจัน ยอดรวมอยู่ที่ 2.80 ล้าน ครั้ง

AmarinTV มียอดรวม 2.0 ล้าน ครั้ง Drama-addict มียอดรวม 9.98 แสน ครั้ง มติชน มียอดรวม 9.53 แสน ครั้ง The Standard มียอดรวม 9.03 แสนครั้ง Ch7HD มียอดรวม 8.91 แสน ครั้ง ThaiPBS มียอดรวม 8.35 แสน ครั้ง และ ข่าวช่อง 8 มียอดเอ็นเกจเมนต์รวม 7.98 แสน ครั้ง

โซเชียลชื่นชม! แห่แชร์น้ำใจ “ร้านอาหาร” ช่วงฉุกเฉิน 

ท่ามกลางความโกลาหล ร้านอาหารเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ เมื่อลูกค้าต้องรีบออกจากร้านเพื่อหาที่หลบภัยโดยยังไม่ได้ชำระเงิน อย่างไรก็ตาม หลายร้านเลือกความปลอดภัยของลูกค้าเป็นอันดับแรก พร้อมแสดงความมีน้ำใจด้วยการ “ยกเว้นค่าอาหาร” และขอบคุณลูกค้าที่ติดต่อกลับมาชำระเงินภายหลัง สร้างกระแสชื่นชมและได้รับเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) สูงในโซเชียลมีเดีย

ร้านที่ได้รับความสนใจมากที่สุด คือ เอ็มเค เรสโตรองต์ (MK Restaurants) 66% รองลงมา สุกี้ตี๋น้อย (Suki Teenoi) 19% ไอเบอร์รี่ (iberry) 10% มากุโระ (Maguro) 2% และโอ้กะจู๋ (OHKAJHU) 1% และ อื่น ๆ 2% ตามลำดับ

โซเชียลมีเดีย กับบทบาทสำคัญ ช่วงภัยพิบัติ

ในช่วงเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ อย่างเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่ผ่านมา เผยให้เห็น ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ รับรู้ข่าวสารผ่านโซเชียลมีเดีย เป็นหลักเนื่องจากขาดการแจ้งเตือน อย่างเป็นทางการ จากภาครัฐ เช่น ระบบ SMS หรือ Emergency Alert ที่ควรทำหน้าที่สื่อสารยามฉุกเฉิน

จากการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ในช่วงเวลา ดังกล่าว พบรูปแบบที่น่าสนใจ ดังนี้ :

  • การรายงานสถานการณ์แบบเรียลไทม์ : ผู้คนมักโพสต์ทันทีที่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน ไม่ว่าจะเป็นโพสต์สอบถามข้อมูล, โพสต์แจ้งเตือนผู้อื่น , โพสต์เนื้อหาตลกหรือมีม หรือโพสต์เพื่อสร้างความตระหนักรู้
  • การใช้แฮชแท็กยอดนิยม : มีการใช้แฮชแท็กอย่างกว้างขวาง เช่น #แผ่นดินไหว #ตึกถล่ม เพื่อรวบรวมข้อมูลและติดตามสถานการณ์
  • การแชร์คลิปวิดีโอและภาพถ่าย : ประชาชนจำนวนมากมีส่วนร่วมในการแชร์ภาพจากกล้องวงจรปิด หรือคลิปวิดีโอที่บันทึกเหตุการณ์จริง ซึ่งช่วยให้เห็นภาพสถานการณ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

โซเชียลมีเดีย กลายเป็นศูนย์กลาง ในการติดตามข่าวสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล และเฝ้าระวังเหตุการณ์ โดยประชาชนใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้ ในการแจ้งเหตุ แชร์คลิปวิดีโอความเสียหาย และแสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคารสูง

ข้อมูลเหล่านี้ มีบทบาทสำคัญต่อทุกภาคส่วน ในการวางแผนรับมือ และให้ความช่วยเหลือผู้รับผลกระทบ ได้อย่างรวดเร็ว แม้สถานการณ์จะคลี่คลายลง แต่เสียงจากโลกออนไลน์ ยังคงสะท้อนถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับอาฟเตอร์ช็อก และมาตรฐานความปลอดภัยของอาคารในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเด็นที่ภาครัฐ และผู้เกี่ยวข้องต้องเร่งให้ความสำคัญ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน ต่อไป

ข้อมูลทั้งหมด ที่นำมาวิเคราะห์หา Insight รวบรวมข้อมูลจาก DXT 360 (Social Listening and Media Monitoring Platform) ของบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด (dataxet:infoquest) โดยเก็บข้อมูล ระหว่าง 28-31 มีนาคม 2568

เกี่ยวกับ DXT360

DXT360 เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสาร ได้ทั้งจากโซเชียลมีเดีย สื่อออนไลน์ สื่อบรอดคาสท์ และสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่ว่า จะเป็นเสียงของผู้บริโภค (Consumer Voices) คอนเทนต์จาก Influencers และ KOLs ไปจนถึงข่าวจากสื่อมวลชน ที่รวบรวมเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน มีการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบ Dashboard ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละราย (Customizable Dashboard) จึงทำให้เข้าใจและเห็น Insight ในประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้ง ยังช่วยให้เห็นทิศทางการสื่อสารของแบรนด์ต่าง ๆ สามารถนำมาต่อยอด เพื่อพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

TAG : 0 0 Google +0 เขียนเมื่อ :  อังคาร  8  เมษายน  2568  10:48:59 เข้าชม : 1798443 ครั้ง

Load More Related Articles
Load More By admin
Load More In ที่ปรึกษากฎหมาย โดย ทนาย สุนทร พยัคฆ์
Comments are closed.

Check Also

บทวิเคราะห์ “การทูตประมุข” เปิด บทใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ระหว่าง วันที่ 14 -18 เมษายน ที่ผ่านมา นายสี จิ้นผิง เล … …